อังคุลิมาลปะริตตัง

ตำนานของ อังคุลิมาลปริตร

       ณ แว่น แคว้นโกศลราช ที่บ้านพราหมณ์ปุโรหิต อันเป็นอาจารย์ของพระเจ้าโกศล ภรรยาของท่านปุโรหิตได้ตั้งครรภ์แก่ใกล้คลอด พอถึงการอันควร นางพราหมณีภรรยาปุโรหิตนั้น ก็คลอดบุตรออกมาเป็นผู้ชาย ขณะที่ทารกน้อยนั้นคลอดออกจากครรภ์มารดา ก็ให้บังเกิดอาเพศเหตุอัศจรรย์ เครื่องศัสตราวุธ ของมีคมทั้งหลายภายในเมือง บังเกิดเป็นแสงรัศมีสีแดงรุ่งเรือง ประดุจดังถูกเปลวไฟเผาไหม้กำลังจะหลอมละลาย ครั้นเมื่อจับต้อง ก็หาได้บังเกิดความร้อนไม่ ฝ่ายปุโรหิตผู้เป็นบิดา รู้ทักษา รู้ฤกษ์นิมิตหมาย จึงได้รู้อยู่แก่ใจว่า บุตรของตนเป็นกาลกิณี เป็นการีต่อผู้คน หมู่ชนในบ้านเมือง จึงออกเดินทางจากบ้าน ไปเข้าเฝ้าพระราชาโกศล แล้วทูลว่า 

       ขอเดชะ พระอาญามิพ้นเกล้า บัดนี้ได้บังเกิดอาเพศ มีเหตุให้ระคายเคืองเบื้องพระบาทของพระองค์แล้ว พระเจ้าข้า เรื่องก็มาจากกุมารบุตรของหม่อมฉัน ได้ถือกำเนิดเกิดขึ้นมา เป็นเหตุให้ศัสตราวุธลุกเป็นไฟด้วยเดชและศักดิ์ดา ของกุมารน้อยนั้น เมื่อเจริญวัย จะมีจิตใจหยาบช้า จะเข่นฆ่าหมู่ชน จะเป็นเหตุให้มหาชนเดือดร้อนเป็นอันมาก ขอพระองค์ทรงโปรดให้จับกุมารนั้น ไปประหารเสียเถิด เพื่อมิให้เป็นภัยต่ออาณาประชาราชสืบไป พระเจ้าโกศล เป็นผู้เลื่อมใสในพระรัตนตรัยเป็นพุทธมามกะ จึงทรงมีจิตเมตตา ทรงตรัสห้ามว่า 

       อย่าเลยท่านปุโรหิต กุมารน้อยเพิ่งจะลืมตามาดูโลก ดุจดังไม้อ่อน ขึ้นอยู่แต่ผู้ฟูมฟักปลูกฝัง สั่งสอนดัดกาย วาจา ใจ ให้เขาเป็นอะไร ก็จะเป็นเช่นนั้น ท่านมายกลูกให้เราฆ่า เราก็จะรับเอาไว้ แต่จะไม่ฆ่า จะส่งคืนให้ท่านไปช่วยเลี้ยงดู ฟูมฟักถนุถนอม อบรมสั่งสอนแทนเราด้วย แล้วจึงทรงตั้ง ชื่อกุมารน้อยนั้นว่า อหิงสกะ 
       กาลเวลาล่วงเลยมา จนกุมารอหิงสกะ เจริญวัยเติบใหญ่เป็นหนุ่มรูปงาม ร่างกายกำยำแข็งแรง ท่านปุโรหิตและนางพราหมณี จึงส่งลูกชายให้ไปศึกษาศิลปวิทยา ณ เมืองตักกศิลา ตามคตินิยมของคนในยุคนั้น อหิงสกะ มานพหนุ่มนอกจากจะเป็นผู้มีรูปงาม ร่างกายแข็งแรง ยังเป็นผู้มีความฉลาดหลักแหลม เข้าไปเรียนศิลปวิทยา กับอาจารย์ไม่นานเท่าไหร่ ก็เข้า ใจรอบรู้สรรพวิทยาของอาจารย์ได้ทั้งหมดเท่าที่อาจารย์สอน อีกทั้งยังเป็นผู้กตัญญูรู้คุณอาจารย์ มีกตเวทิตา พยายามตอบแทนพระคุณอาจารย์ ด้วยช่วยเหลือกิจการงานทุกอย่างที่อาจารย์พึงมี จนเป็นที่อิจฉาริษยาแก่บรรดาศิษย์คนอื่นๆ ที่อยู่ร่วม ด้วยการหาเล่ห์ใส่ไคร้ว่า อหิงสกะ จะเป็นชู้แก่ภรรยาของอาจารย์ แรกๆ อาจารย์ก็มิเชื่อ ต่อ ๆ มาความดีของ อหิงสกะ กลับเป็นที่โปรดปรานของภรรยาอาจารย์ยิ่งนัก ถึงกับกล่าวนิยมชมชอบในตัว อหิงสกะ แก่สามีของตนว่า 
       เออ...นี่แน่ ท่านพี่ อหิงสกะ ศิษย์ของท่านคนที่ช่างน่ารัก น่าเอ็นดูยิ่ง มีน้ำใจช่วยเหลือการงานภายในบ้าน แถมยัง อ่อนน้อมถ่อมตน ไม่เหมือนศิษย์อื่นที่มีมา เมื่อภรรยาของอาจารย์ทิศาปาโมกข์ กล่าวนิยมชมชอบในตัวอหิงสกะมานพ 
ให้แก่อาจารย์ทิศาปาโมกข์ ได้ฟังอยู่บ่อยๆ อีกทั้งกลุ่มศิษย์ที่ริษยา ก็พากันพูดใส่ไคร้ให้อาจารย์หลงผิด ปุถุชนคนธรรมดาอย่างอาจารย์ทิศาปาโมกข์ก็พลอยเชื่อตามคำยุยง จึงคิดแค้นในใจว่า 
       หนอย...เจ้าอหิงสกะ คิดจะกินบนเรือนแล้วมาขี้รดบนหลังคา เห็นทีข้าต้องหาทางฆ่ามัน ให้ได้ คิดดังนั้นแล้ว จึงออกอุบาย เรียกอหิงสกะมา แล้วกล่าวว่า ศิษย์รัก เจ้าก็อยู่กับข้ามานาน ชาญฉลาดทั้งยัง ช่วยทำการงานทุกอย่างภายในบ้าน ข้าจึงคิดจะตอบแทนเจ้า ด้วยการสอนมนต์ที่ชื่อว่า วิษณุอิทธิมนต์ให้แก่เจ้า แต่การจะเรียนมนต์ มิใช่ง่าย 
ถ้าเรียนได้ก็จะวิเศษสุด ผู้ที่จะเรียนมนต์นี้ จะต้องนำนิ้วของคนมาคนละนิ้ว รวมกันให้ได้พันนิ้ว แล้วร้อยเป็นพวงมาลา 
เพื่อบูชาพระวิษณุ จึงจะเรียนมนต์นี้สำเร็จ ศิษย์รัก เจ้าจงออกไปหานิ้วมนุษย์มา ให้ครบพันเพื่อทำมาลาประกอบพิธีเถิด 

       อหิงสกะมานพ พอได้ฟังคำของอาจารย์ จึงกล่าวแก่อาจารย์ว่า ข้าแต่ท่านอาจารย์ผู้ประเสริฐ ตลอดเวลาที่ผ่านมา ไม่ว่าท่านอาจารย์จะสั่งอะไร ให้ข้าให้ขึ้นเขาลงห้วย ข้าช่วยทำให้หมด ไม่เคยขัด แต่ครั้งนี้ ข้าขอขัดท่านอาจารย์สักครั้ง ด้วยเหตุว่า การทำร้าย ทำลาย ฆ่าคน ผิดวิสัยของผู้ดีมีศีล แม้ว่าข้าจะปรารถนาอย่างที่สุดที่จะเรียนรู้วิษณุมนต์ ข้าก็มิอาจทำปาณาติบาตฆ่าคนได้ ขอท่านอาจารย์โปรดกรุณาอดโทษแก่ข้าพเจ้า 
       ข้างฝ่ายอาจารย์ เห็นกิริยาของอหิงสกะ ผู้เป็นศิษย์ กล่าวถ้อยคำที่เป็นสุภาษิต ดังนั้นก็คิดว่า ไอ้ศิษย์เนรคุณคนนี้ ยังจะมาทำเสแสร้งแกล้งรักษาศีลต่อหน้าเรา ทั้งๆ ที่คิดจะเป็นชู้ต่อเมียเรา ดีหละเราก็ต้องเสแสร้งแกล้ง ทำมายาแก่มันบ้าง คิดดังนั้นแล้ว ผู้เป็นอาจารย์ก็ทำทีเป็นร้องไห้ฟูมฟาย แล้วก็รำพึงรำพันว่า 
       โถ...โถ...ดูรึ สวรรค์ เราสู่อุตส่าห์ มีความเมตตากรุณาต่อศิษย์คิดจะประสาทสรรพวิทยายันต์มนต์อันศักดิ์สิทธิ์ 
แต่ศิษย์กับ มาคิดเล็กคิดน้อย แถมพูดให้เราได้รับความน้อยเนื้อต่ำใจ เทพไท..เอย..ท่านเทพไท ข้าคงจะไม่มีวาสนาเป็นอาจารย์ แก่ศิษย์ผู้นี้เสียแล้ว ว่าแล้วก็ทำเป็นร้องไห้ต่อไป 

       อหิงสกะมานพ เห็นผู้เป็นอาจารย์มีกิริยาอาการเสียใจ เพราะ คำพูดของตน จึงรู้สึกผิดและให้นึกสงสารเห็นใจผู้เป็นอาจารย์ยิ่งนัก ด้วยความกตัญญู จึงตกปากรับคำว่า ข้าแต่ท่านอาจารย์ผู้เจริญ ในเมื่อเป็นความประสงค์ของอาจารย์ที่ปรารถนาจะให้ศิษย์ได้ดีมีวิชา ศิษย์ก็มิบังอาจขัดคำสั่ง ขอท่านอาจารย์โปรดจงหยุดร้องไห้เสียเถิด อาจารย์ได้ฟังดังนั้น จึงหยุดร้องไห้ แล้วก็ทำทีเป็นสวมกอดศิษย์รัก พร้อมทั้งหยิบดาบส่งให้แล้วสั่งว่า 
       อหิงสกะเอย เจ้าฆ่าคนและจงตัดเอานิ้วชี้มาคนละนิ้วให้ได้หนึ่งพันนิ้ว แล้วร้อยเป็นพวงมาลา นำมาให้เราบูชาองค์พระวิษณุเพื่อเรียนมนต์ 
       อหิงสกะมานพ ถือดาบตระเวนไล่ฟันเข่นฆ่าผู้คน ล้มตายไปมากมาย จนเป็นที่หวาดกลัวแก่ผู้คน ถึงขนาดขนานนามว่า องคุลิมาลโจร ชนทั้งหลาย จึงไปร้องทุกข์ทูลเรื่องแก่พระเจ้าโกศลให้ทรงทราบ พระเจ้าโกศลราช ทรงทราบความเดือดร้อนของอาณาประชาราช จึงจัดส่งเจ้าพนักงานให้ออกไปสืบข้อเท็จจริง ว่าโจรองคุลิมาล เป็นใครกันแน่ 
ทำไมจึงได้เที่ยวไล่ฆ่าผู้คนครั้นเมื่อได้ทรงทราบว่า ที่แท้ องคุลิมาลโจร ก็คือ อหิงสกะ บุตรของปุโรหิตนั่นเอง 
พระเจ้าโกศลราชจึงมีรับสั่งให้จัดเตรียมทัพ เพื่อจะไปจับ โจรองคุลิมาล ฆ่าเสีย

       ข้างนางพราหมณีภรรยาของปุโรหิต มารดาของอหิงสกะพอได้ทราบว่า บัดนี้ลูกชายที่ส่งไปเรียนวิชา ณ เมืองตักกศิลา ได้กลายเป็นโจรไล่เข่นฆ่าผู้คน จนพระราชาต้องนำทัพไปปราบ ด้วยความรักของแม่ที่มีต่อบุตรสุดชีวิต ไม่คิดเสียดายแม้ชีวิตจะมีอันตราย จึงออกเดินทางล่วงหน้า เพื่อหวังจะไปบอกแก่ลูกว่ากำลังจะมีภัย ให้ลดละเลิกทำปาณาติบาตเสีย 

       ยามสุดท้ายของราตรีนั้น องค์พระผู้มีพระภาคเจ้า ได้ทรงเลงข่ายพระญาณ ตรวจดูสรรพสัตว์ จึงได้ทราบว่า องคุลิมาลโจร มีอุปนิสัยอรหัตผล ถ้าเช้าวันนี้พระองค์ไม่ทรงโปรด 
องคุลิมาลโจร ก็จะทำมาตุฆาต เป็นอนันตริยกรรมขาดจากอุปนิสัยอรหันต์ 

       ครั้นเมื่อถึงกาลอรุณสมัย องค์สมเด็จพระจอมไตร จึงทรงเสด็จไปโปรดโจรองคุลิมาลด้วยอิทธิปาฏิหารย์ โดยปรากฏพระวรกายเฉพาะหน้าของ โจรองคุลิมาล ซึ่งในขณะนั้น นางพราหมณีมารดาของ โจรองคุลิมาล ก็ถึงเฉพาะหน้าลูกชายพอดี องค์สมเด็จพระชินสีห์ จึงทรงเนรมิตร มิให้ โจรองคุลิมาล มองเห็นมารดา 
เพราะทรงทราบว่า ถ้าโจรองคุลิมาลเห็นมารดาก็จะฆ่าเสีย เหตุเพราะจำมารดาไม่ได้ 
       โจรองคุลิมาล เมื่อได้เห็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็มิได้รู้จัก แต่ก็คิดในใจว่า เราตระเวนหานิ้วคนเวลานี้ได้ ๙๙๙ นิ้วแล้ว ยังจะขาดอีกนิ้ว สมณะผู้นี้ดูงามมีสง่า แต่ก็น่าเสียดายที่จะต้องมาตายเสียวันนี้ คิดดังนั้น แล้วจึงถือดาบวิ่งไล่หมายใจว่าจะฟันหัวให้ขาด แล้วตัดเอานิ้วเสีย องคุลิมาลโจร วิ่งไล่มาได้ไกลแม้หลายโยชน์ แต่ก็หาทันไม่ ซึ่งปกติแม้ม้าอาชาไนยที่แข็งแรงก็อย่าได้หมาย จะได้วิ่งชนะแก่องคุลิมาลโจรเลย แต่มาวันนี้ เขากำลังวิ่งไล่ตามสมณะผู้กำลังเดินธรรมดาๆ องคุลิมาลโจร จึงป้องปากตะโกนร้องบอกว่า หยุดก่อนสมณะ หยุดก่อนสมณะ สมณะหยุดก่อน 
       พระผู้มีพระภาคจึงทรงตรัสในขณะที่ทรงพระดำเนินว่า 
เราหยุดแล้วประสก เราหยุดแล้ว 
องคุลิมาล จึงกล่าวตอบว่า ท่านเป็นสมณะ ดูรึ ยังจะมากล่าวมุสาอีก 
พระผู้มีพระภาคเจ้า จึงทรงตรัสตอบว่า เรามิได้มุสา เราหยุดแล้วจากการก่อเวร ละบาปและอกุศลกรรมทั้งปวงได้แล้ว 
มีแต่ประสกนั่นแหละ ที่ยังไม่หยุดจากการทำบาปอกุศลกรรม 

องคุลิมาลโจร พอได้สดับพระสุรเสียงนั้น จึงได้สติคิดว่า จริงซินะ สมณะผู้นี้ เป็นผู้หยุดก่อเวร ละบาปและอกุศลกรรมทั้งปวงได้แล้ว คงมีแต่เรายังวิ่งแสวงหาแต่บาปและอกุศลกรรม ซึ่งก็จะให้ผลเป็นทุกข์ในที่สุด 
       คิดดังนี้แล้ว องคุลิมาล จึงได้หยุดวิ่ง แล้วปล่อยมีดให้หลุดจากมือ เปลื้องมาลานิ้วมือที่คล้องคอทิ้งเสีย แล้วนั่งคุกเข่าอัญชลี พร้อมทั้งขอติดตามออกบวช 
       สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า จึงทรงคลายฤทธิ์ ทำให้ องคุลิมาล เห็นมารดา มารดาก็เห็นองคุลิมาล แล้วทรงมีพุทธฏีกาตรัสให้ องคุลิมาลไปกราบขอขมา ขออนุญาตบรรพชาจากมารดา แล้วจึงให้ องคุลิมาล ตามเสด็จไปยังเชตวันมหาวิหาร 
       กาลต่อมา เมื่อ องคุลิมาล ไปบรรพชาอุปสมบทแล้ว จึงเข้าไปบิณฑบาตในนครสาวัตถุ ชาวเมืองเมื่อได้รู้ว่า องคุลิมาล เดินผ่านบ้านตน ต่างฝ่ายต่างก็ตกใจกลัววิ่งหนีเข้าบ้านปิดประตูลั่นดาน ซ่อนตัวอยู่แต่ในบ้าน ไม่มีใครยอมออกมาใส่บาตร ขณะนั้น มีนางหญิงท้องแก่ เห็น องคุลิมาล ภิกษุเดินมา ก็กลัวลนลาน จะหลบเข้าบ้านก็เดินออกมาไกลจากบ้าน อยู่บริเวณเขตรั้ว จึงได้ก้มตัวลงเพื่อจะคลานรอดรั้วหนี องคุลิมาลภิกษุ ไปให้พ้น แต่เจ้ากรรมช่วงหัวและหน้าอกลอดผ่านพ้นรั้วไปได้ และสุดท้ายติดครรภ์ที่โตใกล้คลอด ขณะนั้นนางเกิดเจ็บครรภ์ขึ้นมากระทันหัน ดิ้นรนร้องทุรนทุรายติดคารั้วบ้านอยู่ 
        องคุลิมาลภิกษุ เมื่อเดินผ่านมาเห็นเข้า บังเกิดจิตเมตตาปรารถนาที่จะช่วยหญิงนั้น แต่ก็มิรู้จักทำประการใดจึงได้ตั้งสัจจะอธิษฐานว่า 
       “ดูก่อนน้องหญิง บัดนี้เราได้เกิดในสกุลพระสมณะ  ศากยะผู้ประเสริฐพระองค์นั้นแล้ว        มิได้เบียดเบียน ทำร้ายทำลายสัตว์ตนใด ให้เดือดร้อนเสียหาย นี้เป็นคำสัตย์      ขอความสวัสดีจงมีแก่น้องหญิงและบุตรในครรภ์ด้วยเทอญ” 
หญิงนั้นจึงได้คลอดลูกออกมาโดยง่าย  ปราศจากอันตรายและโดยสวัสดี 
       ต่อมาภายหลัง ชนทั้งหลายมีความเลื่อมใสถึงขนาดนำน้ำไปล้างตั่งที่นั่งของท่าน แล้วเอาไปให้หญิงหรือสัตว์มีครรภ์กิน หญิงและสัตว์นั้นพลันคลอดบุตรง่าย เมื่อ พระองคุลิมาล ได้ตั้งสัจจะอธิษฐานช่วยหญิงนั้นแล้ว 
ท่านก็ออกเดินบิณฑบาต จนได้อาหารแล้วกลับที่พักมาเจริญสมณธรรมต่อไป 
       ภิกษุองคุลิมาล ขณะเจริญสมณธรรม ก็มีจิตคิดฟุ้งซ่าน เห็นแต่กายมนุษย์ที่ถูกตนฆ่า มาในรูปอสุรกาย ปรากฏเฉพาะหน้า ยืนยื่นมือร้องทวงชีวิตเป็นเช่นนี้อยู่เนืองนิจ จนความนี้รู้ถึงองค์สมเด็จพระชินสีห์ จึงทรงมีพุทธโอวาทตรัสสอนว่า 
       ดูก่อนภิกษุ เธอจงมีความเพียรเพ่งอยู่ เพื่อกำจัดบาปในใจ ดุจดังบุรุษเอาสาหร่ายจอกแหนออกจากบ่อน้ำฉะนั้น 
ภิกษุองคุลิมาล ปฏิบัติพุทธโอวาท ไม่ช้าก็บรรลุอรหัตผล เป็นพระอริยบุคคลผู้วิเศษในศาสนา

 

บทสวด

 

       ยะโตหัง ภะคินี อะริยายะ ชาติยา ชาโต นาภิชา นามิ สัญจิจจะ ปาณัง ชีวิตา โวโรเปตา เตนะ สัจเจนะ โสตถิ เต โหตุ โสตถิ คัพภัสสะ ฯ ยะโตหัง ภะคินิ อะริยายะ ชาติยา ชาโต นาภิชานามิ สัญจิจจะ ปาณัง ชีวิตา โวโรเปตา เตนะ สัจเจนะ โสตถิ เต โหตุ โสตถิ คัพภัสสะ ฯ ยะโตหัง ภะคินิ อะริยายะ ชาติยา ชาโต นาภิชานามิ สัญจิจจะ ปาณัง ชีวิตา โวโรเปตา เตนะ สัจเจนะ โสตถิ เต โหตุ โสตถิ คัพภัสสะ ฯ

 

คำแปล

       ดูก่อนน้องหญิง นับแต่เราเกิดโดยอริยชาตินี้แล้ว เราไม่เคยคิดปลงชีวิตสัตว์เลย ด้วยสัจวาจานี้ ขอความสวัสดีจงมีแก่เธอ ขอความสวัสดีจงมีแก่ครรภ์ของเธอ

 

Visitors: 108,510